เรียน ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกท่าน
ภาพรวมเศรษฐกิจไทยปี 2566 ยังคงมีการขยายตัวเล็กน้อย เมื่อเปรียบเทียบกับปีก่อนหน้า โดยแรงผลักดันสำคัญในการ ขับเคลื่อน มาจากการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยวที่ส่งผลให้เกิดการกระจายรายได้ถึงภาคธุรกิจและภาคแรงงาน อย่างไรก็ตาม ยังคงมีแรงกดดันจากเศรษฐกิจโลกที่มีแนวโน้มชะลอตัว สืบเนื่องมาจากการขึ้นดอกเบี้ยของธนาคารกลางเพื่อควบคุม เงินเฟ้อ อีกทั้งยังมีการชะลอตัวของอุปสงค์ทั่วโลก ซึ่งส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมการผลิตของภาคเอกชน จึงทำให้มูลค่าการส่งออกทั้งปีของไทยติดลบเล็กน้อย รวมถึงการเพิ่มสูงขึ้นของหนี้ครัวเรือน ทำให้เกิดการระมัดระวังในการจับจ่ายใช้สอยของผู้บริโภคมากขึ้น สำหรับปี 2566 นี้ ได้มีการเลือกตั้งเพื่อจัดตั้งรัฐบาลใหม่และแต่งตั้งนายกรัฐมนตรี โดยจากกระบวนการจัดตั้งรัฐบาลที่ล่าช้า ส่งผลให้ทางรัฐบาลไม่สามารถออกนโยบายเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจได้เต็มที่ในปีนี้ แต่ได้มีการประกาศนโยบายที่มีแผนดำ เนินโครงการในช่วงต้นปี 2567 ซึ่งอาจช่วยในเรื่องของกำลังซื้อผู้บริโภคในบางส่วน
ถึงแม้ในปีนี้ ภาคธุรกิจจะเผชิญกับความกดดันในหลายด้าน ทางบริษัทฯ ยังคงมีผลการดำเนินงานที่เติบโตจากการวางรากฐานทางธุรกิจที่มั่นคง หลังการควบรวมธุรกิจโฮมโปรและเมกาโฮมเข้าด้วยกัน ซึ่งส่งผลให้เกิดประสิทธิภาพการดำเนินงานที่เพิ่มสูงขึ้น อาทิ ด้านการควบคุมทรัพยากรและค่าใช้จ่าย และด้านการให้บริการที่สะดวกสบายและรวดเร็วแก่ลูกค้ามากขึ้น รวมถึงบริษัทฯ ได้มีการขยายช่องทางการจำหน่ายสินค้าและบริการ ทั้งในส่วนของเว็บไซต์โฮมโปรและ Marketplace อีกทั้งยังมีการพัฒนากลุ่มสินค้าและบริการอย่างต่อเนื่อง เพื่อตอบสนองทุกกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย
สำหรับปี 2566 บริษัทฯ มีรายได้รวม 72,821.77 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 4.95% และมีกำไรสุทธิ 6,441.56 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 3.61% รวมถึงสามารถขยายสาขาได้จำนวน 12 สาขา ตามเป้าหมาย ซึ่งประกอบไปด้วยโฮมโปร 3 สาขา และเมกาโฮม 9 สาขา
ในปี 2567 บริษัทฯ มีแผนเดินหน้าขยายสาขาทั้งโฮมโปรและเมกาโฮมอย่างต่อเนื่อง รวมถึงมีการวางแผนการดำเนินงานต่างๆ อย่างครอบคลุมเพื่อเพิ่มโอกาสทางธุรกิจและความได้เปรียบทางการแข่งขันในตลาด ผ่านการประกอบธุรกิจบนหลักของ ESG ซึ่งประกอบไปด้วย สิ่งแวดล้อม (Environmental) สังคม (Social) และธรรมาภิบาล (Governance) ในการพัฒนาธุรกิจให้เติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืน โดยมีเป้าหมายขับเคลื่อนธุรกิจสู่ Net Zero ภายในปี 2593 จากการผนวกกลยุทธ์การดำเนินงานให้สอดคล้องกับหลักการ ESG อาทิ การจัดการขยะอย่างถูกวิธี การใช้รถ EV ขนส่งสินค้า และการติดแผงโซล่าร์เซลล์ที่สาขาอย่างต่อเนื่อง รวมถึงบริษัทฯ ได้ให้ความสำคัญในการปลูกฝังวัฒนธรรมองค์กรให้แก่พนักงาน เพื่อสร้างทัศนคติที่ดี และทิศทางการทำงานที่นำไปสู่เป้าหมายเดียวกัน ควบคู่ไปกับการเฝ้าระวังและรับมือกับปัจจัยเสี่ยงต่างๆ บนความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจโลก อาทิ สภาพอากาศที่แปรปรวน และความผันผวนของราคาสินค้าโภคภัณฑ์ที่อาจส่งผลถึงต้นทุนการดำเนินงานที่เพิ่มสูงขึ้น
จากการให้ความสำคัญในเรื่องการดำเนินธุรกิจควบคู่ไปกับความยั่งยืน ส่งผลให้บริษัทได้รับคัดเลือกและได้รับรางวัลต่างๆ ทั้งในระดับสากลและระดับประเทศ อาทิ การได้รับเลือกให้เป็นสมาชิกดัชนีความยั่งยืน Dow Jones Sustainability Indices (DJSI) ในกลุ่มของตลาดเกิดใหม่ (Emerging markets) ต่อเนื่องเป็นปีที่ 7 ดัชนี MSCI Global Sustainability Index ดัชนี FTSE4Good Emerging Index ดัชนี Bloomberg Gender-Equality Index (GEI) ดัชนี ESG100 ผลการประเมินการรายงานด้านธรรมาภิบาล (Corporate Governance Report) อยู่ในระดับดีเยี่ยม รวมถึงติดอันดับรายชื่อหุ้นยั่งยืน SET ESG Ratings พร้อมทั้งได้รับการต่ออายุการรับรองจากคณะกรรมการแนวร่วมปฏิบัติของภาคเอกชนไทยในการต่อต้านการทุจริต (CAC Certification)
สุดท้ายนี้ บริษัทฯ ขอแสดงความขอบคุณท่านผู้มีส่วนได้เสียที่ให้การสนับสนุนกิจการของบริษัทฯในทุกๆ ด้าน บริษัทฯ ถือเป็นพันธะสัญญาว่า จะดำเนินและพัฒนาธุรกิจให้เจริญเติบโต เพื่อประโยชน์สูงสุดของผู้ถือหุ้น คู่ค้า ลูกค้า และ พนักงานทั่วประเทศกว่า 10,000 คนของบริษัทฯ สืบต่อไป
(นายอนันต์ อัศวโภคิน)
ประธานกรรมการ